เสียงแจ้งเตือนจากข้อมือในยามดึก หรือข้อความเตือนบนหน้าปัดนาฬิกาที่คุณอาจมองข้าม คิดว่าเป็นเพียงความผิดพลาดของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แท้จริงแล้วมันอาจเป็น “เสียงเตือนสุดท้าย” ที่ช่วยดึงคุณกลับมาจากปากประตูแห่งความตาย
อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้าทั่วไป แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนจาก “หัวใจ” ที่กำลังส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ในอดีตเราอาจต้องรอให้เกิดอาการรุนแรงจนต้องหามส่งโรงพยาบาลถึงจะรู้ว่าเป็นโรคหัวใจ แต่ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีที่อยู่บนข้อมือของคุณอย่าง Smartwatch กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าวงการแพทย์ ด้วยความสามารถในการ “เฝ้าระวัง” ภัยเงียบนี้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ภัยเงียบที่ชื่อว่า Atrial Fibrillation (AFib) หรือ หัวใจเต้นผิดจังหวะ
ก่อนจะไปถึงเรื่องเทคโนโลยี เราต้องเข้าใจศัตรูที่เรากำลังรับมือก่อน ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมีหลายประเภท แต่ชนิดที่ Smartwatch ส่วนใหญ่เน้นตรวจจับและแพทย์กังวลที่สุดคือ Atrial Fibrillation หรือเรียกสั้นๆ ว่า AFib
AFib คือภาวะที่หัวใจห้องบนเต้นพริ้ว ไม่เป็นจังหวะ ทำให้เลือดสูบฉีดไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกิดลิ่มเลือดตกค้างในห้องหัวใจ หากลิ่มเลือดนี้หลุดลอยไปอุดตันที่สมอง จะก่อให้เกิด “โรคหลอดเลือดสมอง” (Stroke) หรืออัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ความน่ากลัวคือผู้ป่วยจำนวนมากไม่มีอาการแสดงใดๆ (Asymptomatic) และใช้ชีวิตตามปกติโดยไม่รู้ตัวว่ามีระเบิดเวลาซ่อนอยู่ในร่างกาย
นี่คือช่องว่างที่ Smartwatch เข้ามาเติมเต็ม เพราะเราคงไม่สามารถวิ่งไปขอทำคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ที่โรงพยาบาลได้ทุกวัน แต่นาฬิกาอัจฉริยะทำหน้าที่นั้นให้คุณได้
เจาะลึกเทคโนโลยี Smartwatch รู้ได้อย่างไรว่าใจสั่น
หลายคนสงสัยว่านาฬิกาเรือนเล็กๆ แค่นี้ จะรู้อาการภายในร่างกายเราได้อย่างไร หลักการทำงานแบ่งออกเป็น 2 ระบบหลักที่ทำงานสอดประสานกัน ดังนี้
1. ระบบเฝ้าระวังด้วยแสง (PPG – Photoplethysmography)
นี่คือด่านหน้าในการตรวจจับ สังเกตง่ายๆ คือไฟสีเขียวที่กระพริบอยู่ใต้เรือนนาฬิกา เทคโนโลยีนี้ใช้หลักการสะท้อนของแสง

- หลักการทำงาน เลือดของเรามีสีแดงเพราะสะท้อนแสงสีแดงและดูดกลืนแสงสีเขียว เมื่อหัวใจบีบตัว เลือดจะไหลเวียนมาที่ข้อมือมาก ทำให้ดูดกลืนแสงสีเขียวมาก และเมื่อหัวใจคลายตัว เลือดจะไหลเวียนน้อยลง
- การตรวจจับ เซนเซอร์จะวัดปริมาณแสงที่สะท้อนกลับมาเป็นพันๆ ครั้งต่อวินาที เพื่อคำนวณจังหวะชีพจร หากระบบพบว่าช่วงห่างของการเต้นแต่ละครั้ง (Inter-beat interval) มีความไม่สม่ำเสมอติดต่อกัน (เช่น เร็วบ้าง ช้าบ้าง สลับกันมั่ว) ในขณะที่คุณนั่งพักหรือนอนหลับ ระบบจะประมวลผลว่าเป็นความผิดปกติและส่ง “การแจ้งเตือนจังหวะการเต้นที่ไม่สม่ำเสมอ” (Irregular Rhythm Notification)
2. ระบบยืนยันผลด้วยไฟฟ้า (ECG – Electrocardiogram)
นี่คือเทคโนโลยีระดับเดียวกับเครื่องมือแพทย์เบื้องต้น (Single-lead ECG) ที่ย่อส่วนลงมา

- หลักการทำงาน ระบบนี้ไม่ได้ทำงานอัตโนมัติเหมือนแบบแรก แต่คุณต้องกดใช้งานเอง เมื่อคุณวางนิ้วลงบนปุ่มด้านข้าง (Digital Crown) หรือขอบนาฬิกา ร่างกายของคุณจะทำหน้าที่เป็นตัวนำไฟฟ้า ครบวงจรจากข้อมือซ้ายผ่านหัวใจไปยังนิ้วมือขวา
- การตรวจจับ เซนเซอร์จะบันทึกคลื่นไฟฟ้าที่กระตุ้นให้หัวใจเต้น และแสดงผลออกมาเป็นกราฟคลื่นหัวใจ (Waveform) ที่แพทย์สามารถอ่านค่าได้ เพื่อยืนยันว่าภาวะที่เกิดขึ้นคือ AFib จริงหรือไม่
ความแม่นยำระดับงานวิจัย เชื่อถือได้แค่ไหน
คำถามสำคัญคือ “เราฝากชีวิตไว้กับ Gadget ได้จริงหรือ” คำตอบคือ “ได้ในระดับคัดกรอง แต่ไม่ใช่การวินิจฉัย” ลองมาดูข้อมูลจากงานวิจัยระดับโลกที่น่าสนใจครับ

- Apple Heart Study (ร่วมกับ Stanford Medicine) งานวิจัยนี้ศึกษาในกลุ่มตัวอย่างกว่า 400,000 คน พบว่าเทคโนโลยี PPG สามารถแจ้งเตือนความผิดปกติได้แม่นยำ และเมื่อนำผู้ที่ได้รับการแจ้งเตือนไปตรวจยืนยันด้วยแผ่นแปะหน้าอกทางการแพทย์ พบว่ามีค่า Positive Predictive Value (PPV) อยู่ที่ประมาณ 84% แปลง่ายๆ คือ ถ้า Apple Watch บอกว่าคุณน่าจะเป็น AFib มีโอกาสถึง 84% ที่คุณจะเป็นจริงๆ (อ้างอิง: New England Journal of Medicine)
- Fitbit Heart Study ศึกษาในกลุ่มตัวอย่างกว่า 455,000 คน ผลลัพธ์ออกมาน่าประทับใจเช่นกัน โดยพบว่าเมื่ออัลกอริทึมระบุความผิดปกติ และผู้ใช้งานเข้าสู่กระบวนการตรวจวินิจฉัยทันที (Concurrent) ค่าความแม่นยำในการพบ AFib สูงถึง 98% (อ้างอิง: Circulation Journal)
ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกว่า Smartwatch ไม่ใช่ของเล่น แต่เป็นเครื่องมือคัดกรอง (Screening Tool) ที่ทรงประสิทธิภาพมากในการพาผู้ป่วยที่ “ไม่รู้ตัว” เข้าสู่ระบบการรักษา
ข้อจำกัดที่คุณต้องรู้ (ก่อนจะตื่นตระหนกหรือวางใจเกินไป)
แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้าแค่ไหน แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน เพื่อให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย คุณต้องเข้าใจข้อจำกัดเหล่านี้
- ไม่ใช่เครื่องตรวจจับหัวใจวาย Smartwatch ไม่สามารถ ตรวจจับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart Attack) หรือหลอดเลือดสมองตีบได้ หากคุณมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจไม่ออก ร้าวลงแขน อย่ามัวแต่กดนาฬิกา ให้รีบไปโรงพยาบาลทันที
- คำว่า “Sinus Rhythm” ไม่ได้แปลว่าปกติ 100% เมื่อคุณวัด ECG แล้วนาฬิกาขึ้นว่า Sinus Rhythm (จังหวะไซนัส) แปลว่า ขณะนั้น หัวใจคุณเต้นปกติ แต่ไม่ได้การันตีว่าคุณไม่มีโรคหัวใจอื่นๆ ซ่อนอยู่
- ภาวะเป็นช่วงๆ (Paroxysmal) AFib มักจะเป็นๆ หายๆ ช่วงที่คุณวัด ECG ที่คลินิกหรือกดวัดเองที่บ้าน อาการอาจจะสงบไปแล้ว ทำให้ตรวจไม่พบ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคุณหายขาด
- ผลลัพธ์ที่สรุปไม่ได้ (Inconclusive) บ่อยครั้งที่นาฬิกาจะขึ้นสถานะนี้ อาจเกิดจากเหงื่อ อัตราการเต้นหัวใจที่สูงหรือต่ำเกินไป หรือการวางนิ้วไม่นิ่งพอ ไม่ได้แปลว่าเครื่องเสียหรือคุณป่วยหนักเสมอไป
เมื่อนาฬิกาเตือนว่า “พบจังหวะหัวใจผิดปกติ” ต้องทำอย่างไร
หากวันหนึ่งคุณได้รับแจ้งเตือน หรือวัด ECG แล้วขึ้นผลว่า Atrial Fibrillation ให้ตั้งสติและปฏิบัติตามขั้นตอนนี้
- อย่าเพิ่งตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ความเครียดจะยิ่งทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น นั่งลง พักผ่อน และหายใจเข้าลึกๆ
- ลองวัดซ้ำอีกครั้ง เช็ดเหงื่อที่ข้อมือและนิ้วให้แห้ง นั่งในท่าที่สบาย วางแขนบนโต๊ะให้นิ่ง แล้วกดวัด ECG อีกครั้งเพื่อยืนยันผล
- บันทึกผลเป็น PDF Smartwatch ส่วนใหญ่ (Apple Watch, Samsung Galaxy Watch, Fitbit) ยอมให้คุณ Export ผลกราฟ ECG เป็นไฟล์ PDF ได้ ให้เซฟไฟล์นี้เก็บไว้ในมือถือทันที
- พบแพทย์พร้อมหลักฐาน นำไฟล์ PDF ที่ได้ไปให้แพทย์ดู สิ่งนี้มีค่าดั่งทองคำ เพราะมันคือหลักฐานช่วงเวลาที่เกิดเหตุจริง แพทย์จะใช้วินิจฉัยต่อได้ง่ายขึ้นมาก ดีกว่าการไปเล่าอาการปากเปล่า
- ห้ามปรับยาเอง อย่าเพิ่งหยุดยา หรือซื้อยามากินเองเด็ดขาด จนกว่าจะได้รับคำสั่งจากแพทย์
เทคโนโลยีใน Smartwatch เปรียบเสมือน “ยามเฝ้าประตู” ที่ตื่นตัวอยู่เสมอ มันช่วยให้เรามองเห็นภัยเงียบที่ชื่อว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ชัดเจนขึ้นกว่าในอดีตมาก การลงทุนกับอุปกรณ์เหล่านี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของแฟชั่น แต่เป็นการลงทุนกับ “โอกาส” ในการรักษาชีวิต
อย่างไรก็ตาม เครื่องมือก็คือเครื่องมือ วิจารณญาณและการดูแลสุขภาพพื้นฐานยังเป็นหน้าที่ของคุณ หากคุณอายุเกิน 65 ปี มีโรคประจำตัว หรือคนในครอบครัวมีประวัติโรคหัวใจ การสวมใส่ Smartwatch ควบคู่ไปกับการตรวจสุขภาพประจำปี คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่คุณจะมอบให้กับตัวเองได้ในวันนี้
อย่ารอให้หัวใจสั่นจนสายเกินแก้ เพราะจังหวะชีวิต… พลาดแล้วกู้คืนไม่ได้
