นาทีนี้ไม่มีอะไรฮอตไปกว่าราคาทองคำที่พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง จนหลายฝ่ายจับตาว่ามีโอกาสแตะระดับ 50,000 บาท ต่อบาททองคำ (ทองคำแท่ง 96.5% ในไทย) ในอนาคตอันใกล้ สอดคล้องกับ Goldman Sachs ที่ปรับเป้าราคาทองคำขึ้นสู่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากเดิม 2,500 ดอลลาร์ อะไรคือ ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำร้อนแรง ขนาดนี้? นักลงทุน และผู้ที่สนใจ ควรเตรียมรับมืออย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!
6 ปัจจัยหนุนราคาทองคำแตะ 50,000 บาท
แรงกดดันเงินเฟ้อ และวิกฤตเศรษฐกิจโลก
สัญญาณเงินเฟ้อที่อาจกลับมาอีกครั้ง สะท้อนจากการร่วงหนักของราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว ทำให้อัตราผลตอบแทนพุ่งสูงขึ้น ประกอบกับความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ตามคำเตือนของ คริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการจัดการ IMF ที่ระบุว่า “เศรษฐกิจโลกในปี 2568 จะเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ” ส่งผลให้นักลงทุน หันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
มหาอำนาจแห่ตุนทองคำ ลดความเสี่ยง
โดยเฉพาะ จีน ตุรกี และอินเดีย ที่เร่งสะสมทองคำสำรองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีนที่เผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ และต้องใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อพยุงตลาดหุ้น ทำให้ ทองคำยิ่งทวีความน่าสนใจในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง รายงานจาก YLG ระบุว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) ซื้อทองคำเพิ่มอีก 3.3 แสนทรอยออนซ์ ในเดือนธันวาคม สู่ระดับการถือครองรวมทั้งสิ้น 73.29 ล้านทรอยออนซ์ สะท้อนความต้องการกระจายความเสี่ยงของทุนสำรอง
ศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ ตัวแปรชี้ชะตาราคาทอง
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะมาถึง กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่นักลงทุนจับตามอง เพราะนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นการลดภาษี การเก็บภาษีศุลกากร และการลดการใช้จ่ายภาครัฐ อาจส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่า และกดดันราคาทองคำในระยะสั้น เหมือนที่เคยเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งปี 2016 ที่ดอลลาร์และหุ้นดีดตัวขึ้น ขณะที่ทองคำร่วงลง ในทางกลับกัน หากกมลา แฮร์ริสชนะ คาดว่าจะดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไป ซึ่งอาจส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่า และเป็นผลดีต่อราคาทองคำ
นโยบายการเงินของ Fed
แม้คาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนมกราคมนี้ ซึ่งปกติจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ แต่นักวิเคราะห์บางราย เช่น Paul Tudor Jones และ Stanley Druckenmiller มองว่า การลดดอกเบี้ยอาจเป็นความผิดพลาด และตลาดให้น้ำหนักกับผลการเลือกตั้งมากกว่า ผลกระทบต่อราคาทองคำจึงอาจมีจำกัด
Bitcoin พุ่ง สัญญาณบวกต่อทองคำ?
การที่ Bitcoin ทำจุดสูงสุดใหม่อาจเป็นสัญญาณบวกสำหรับทองคำ เนื่องจาก Bitcoin ถูกมองว่าเป็นญาติห่างๆ ของทองคำ โดยทั้งสองสินทรัพย์ได้ชื่อว่าเป็นทางเลือกของสกุลเงิน (Currency) แบบดั้งเดิม ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ Bitcoin สะท้อนว่านักลงทุนกำลังมองหาสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของเงินสกุลหลัก
ปัจจัยหนุนระยะยาวจากนโยบายของทรัมป์
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ทีมเศรษฐกิจของ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังหารือเกี่ยวกับการปรับขึ้นภาษี อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะส่งผลช่วยให้สหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในอัตราเงินเฟ้อที่อาจพุ่งขึ้นจากนโยบายดังกล่าวได้ จนเป็นหนึ่งในปัจจัยบวกที่สำคัญของทองคำในระยะนี้ นอกจากนี้ นายทรัมป์ ยังได้มีการกล่าวสุนทรพจน์ ที่แสดงความประสงค์ในการควบรวมดินแดนต่างๆ ทั้งแคนาดา ปานามา และกรีนแลนด์ ซึ่งถึงแม้แนวคิดนี้จะยังไม่มีความชัดเจน แต่ก็ทำให้ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นที่จับตามอง
จับตาทิศทางราคาทองคำ
แม้แนวโน้มหลักของราคาทองคำยังเป็นขาขึ้น แต่ โมเมนตัมระยะสั้นอ่อนแรงลง โดย YLG แนะนำว่า หากราคาทองคำผ่านแนวต้านสำคัญที่ 2,749 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ได้ มีโอกาสพุ่งขึ้นทดสอบจุดสูงสุดประวัติการณ์ที่ 2,790 ดอลลาร์ และยังคงแนะนำให้ลงทุนระยะสั้น ด้วยการหาจังหวะเข้าซื้อที่แนวรับ 2,652-2,634 ดอลลาร์ และขายทำกำไรที่แนวต้าน 2,684-2,705 ดอลลาร์
สรุป
ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น จากหลากหลายปัจจัยหนุน ทั้งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การสะสมทองคำของธนาคารกลาง และนโยบายการเงินของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องจับตามอง เพราะอาจส่งผลต่อทิศทางของราคาทองคำในระยะสั้น นักลงทุนจึงควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด วิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ และวางแผนการลงทุนอย่างรัดกุม
* บทความนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์ข้อมูล และแนวโน้ม ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน
อ้างอิง:
- เปิดปัจจัยหนุนทองคำทะลุ 3,000 ดอลลาร์ ส่วนทองไทยลุ้นแตะ 50,000 บาท
- เปิด 3 ปัจจัยหนุนนำ ‘ราคาทองคำ’ ยังไปได้ต่อ